เนื่องจากมีเพื่อนๆมาถามกันวันนี้เลยไปหาข้อมูลที่เคยผ่านตามาให้ค่ะ
เริ่มจาก ร้าน แถวมาบตาพุด
เส้นไปทางตลาดสดเทศบาลมาบตาพุด เข้าซอยที่ปากซอยเป็นร้านขายแว่น
แถวๆโรงเรียนมาบตาพุดค่ะ เห็น 2 ร้าน
- ร้านแรก รับแต่น้องหมาแบบตัวไม่โตค่ะ
ร้อยถึงร้อยกว่าๆต่อวัน ชื่อร้าน ปะแป้งมะหมา
090-0784509 รับตัดขนอาบน้ำ จำหน่ายอาหาร อุปกรณ์สัตว์เลี้ยง
เสื้อผ้าก็มีที่อยู่ 43 ถ.เนินพระยอม สุขุมวิท29 ต.มาบตาพุด อ.เมือง
จ.ระยอง
- ร้านถัดไป อยู่เกือบใกล้ๆตลาดเลยค่ะแต่คนล่ะฝั่ง
คือร้านแรกกับร้านที่สองอยู่ฝั่งเดียวกัน
ชื่อคลีนิก รักสัตว์เลี้ยง โดย น.สพ ปฤณ รัตนะพิมล หมอติ๊ก
โทร 038-692-684 รับทั้งน้องหมาน้องแมว
เลยค่ะ ราคาค่าฝากตามน้ำหนัก เริ่มก็ประมาณร้อย ร้อยกว่าๆขึ้นไปต่อวันค่ะ
.. ที่นี่เป็นคลีนิกด้วย และก็มรบริการอาบน้ำตัดขน จำหน่ายอาหารและอุปกรณ์ ที่อยู่ 117/27 ถ.เนินพระยอม สุขุมวิท29 ต.มาบตาพุด อ.เมือง
จ.ระยอง
ต่อไปเป็นร้านทางระยอง
-
ไปเจอมาร้านหนึ่งก่อน เลยไปทาง รพ ระยอง ..เลยโรงเรียนวัดป่าไป
ร้านอยู่แถบเดียวกับวัดป่า เลยวัดป่าไปอีก.. ไปเรื่อยๆ ... ชื่อ เพื่อนรักสัตว์เลี้ยง โทร 038-622248 รับน้องหมา
น้องแมวก็รับแต่ต้องดูก่อนเพราะพี่เค้าว่าน้องแมวรับฝากยาก น่าจะเป็นลักษณะคลีนิกแบบร้านรักสัตว์เลี้ยงมาบตาพุดนะค่ะ อยู่เลขที่ 14/4-5
ถ.สุขุมวิท ต.ท่าประดู่ อ.เมือง จ.ระยอง
| ||
|
10 อันดับ สุนัขยอดฮิตของคนไทย
เรื่องราวหลากหลายสำหรับคนรักสุนัขแสนน่ารัก
วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
รวมที่รับฝากเลี้ยงสุนัข น้องหมา น้องแมว
โรงเรียน โกลมี่เพ็ท กรูมมิ่ง แอนด์ สปา
| |
ไม่น่าเชื่อว่าความต้องการของตลาดในธุรกิจตัดขนสุนัขยังเติบโตได้อีกมาก
โดยเฉพาะตลาดอาเซียน ล่าสุดมีการจัดตั้งเป็นโรงเรียนสอนตัดขนสุนัข
แถมยังได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการของไทยเป็นแห่งที่ 2
เตรียมปั้นบุคลากรรองรับคนรักน้องหมาโดยเฉพาะ กับ “โรงเรียนสอนตัดขนสุนัข โกลมี่เพ็ท กรูมมิ่ง แอนด์ สปา”
กลายเป็นกระแสความนิยมของคนไทยและต่างชาติที่หันมาให้ความสนใจธุรกิจด้านสัตว์กันมากขึ้น
เพราะเชื่อว่าหากมีการเปิดเสรีการค้าในอาเซียน
อาชีพและช่างฝีมือเหล่านี้จะเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก
เห็นได้ชัดจากจำนวนผู้เข้ามาเรียนด้านการตัดขนสุนัขกับโรงเรียน โกลมี่เพ็ท กรูมมิ่ง
แอนด์ สปา เป็นชาวต่างชาติเกือบ
100%
ผู้อำนวยการโรงเรียนโกลมี่เพ็ท กรูมมิ่ง แอนด์
สปา “อาจารย์ณรงค์ อนันต์เลิศสกุล”
เผยเหตุผลหลักที่ทำให้เขาตัดสินใจกระโดดเข้าสู่ธุรกิจนี้อย่างจริงจัง ว่า
จากธุรกิจของครอบครัวที่เปิดร้านขายอาหารสุนัขมาเป็นสิบปี
เห็นพฤติกรรมลูกค้าที่รักสุนัขเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และพร้อมที่จะจ่ายเงินเพื่อสุนัขที่พวกเขารัก
จึงคิดว่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงยังไม่ถึงทางตัน
มีหลายช่องทางสร้างรายได้หากเข้าใจและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้
“ที่ผ่านมาธุรกิจโรงเรียนสอนตัดขนสุนัขของเราถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากคนในภาคใต้ รวมถึงลูกค้าต่างแดนจากประเทศมาเลเซีย และสิงคโปร์ ก็นิยมเดินทางเข้ามาเรียนเป็นจำนวนมากเช่นกัน จากเหตุผลอันดับต้นๆ คือ ราคาค่าเล่าเรียนถูกกว่าในต่างประเทศหลายเท่า เพราะลำพังแค่หลักสูตรพื้นฐานก็ร่วมแสนบาทเข้าไปแล้ว ซึ่งผู้ที่เข้ามาเรียนจะนำวิชาความรู้ไปเปิดร้านของตัวเองกว่า 90% และที่เหลือจะนำไปใช้กับสุนัขของตนเองที่เลี้ยงไว้เป็นจำนวนมาก หวังประหยัดค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน”
นอกจากอาจารย์ณรงค์จะเปิดสอนด้านการตัดขนสุนัขแล้ว ยังดำเนินธุรกิจนี้ควบคู่กันไปด้วย โดยคิดค่าบริการอาบน้ำ ตัดขนสุนัข เริ่มต้นที่ 120-350 บาทเท่านั้น หวังใช้เป็นเวทีให้นักเรียนได้ฝึกฝน และเพิ่มประสบการณ์ด้านธุรกิจให้ตนเอง
แม้ความโด่งดังของโรงเรียนฯ จะดังไกลในต่างแดนแล้ว
อาจารย์ณรงค์ยังคิดว่าจะได้รับการตอบรับดีในประเทศกลุ่มอาเซียนอื่นๆ ด้วย
เพราะจากข้อมูลที่มีคนเคยสำรวจกันมาเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง พบว่า สุนัขติด 1 ใน 10
ของสิ่งที่ผู้คนต้องการนำมาครอบครองในประเทศอาเซียน
สาเหตุหลักมาจากความเหงา และสังคมกลายเป็นสังคมเชิงเดี่ยวมากขึ้น
ดังนั้นสัตว์เลี้ยงจึงกลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผู้คนในปัจจุบัน
ขณะที่ประชากรสุนัขในอำเภอหาดใหญ่ก็เพิ่มขึ้นเช่นกันอยู่ที่ประมาณ 8 แสนตัว
(สุนัขที่มีเจ้าของ) ส่งผลให้ในแต่ละเดือนโรงเรียนฯ มีสุนัขมาใช้บริการประมาณ
300-400 ตัว มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 50,000-60,000
บาท/เดือน
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่วิชาความรู้ด้านการตัดขนสุนัขยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง
ที่ผู้เรียนมองเห็นอนาคตการต่อยอดเป็นธุรกิจ โกยรายได้จากคนรักน้องหมา
|
วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
8 อันดับโรคของสุนัข
1.โรคไข้หัด
โรคนี้เกิด จากเชื้อไวรัส มักเกิดกับลูกสุนัขอายุน้อย ๆ ตั้งแต่ 2-3 เดือน บางครั้งก็พบว่าเกิดใน สุนัขที่โตแล้วเมื่อสุนัขเป็นโรคนี้โอกาสที่จะหาย นั้น มีน้อยมาก โดยอาการของมันก็แสดงออกมาทางอาการประสาท ตัวกระตุก หรือชักตลอดชีวิตส่วนใหญ่แล้วตาย อย่างทรมาน อาการของโรค เราสามารถสังเกตได้จากการที่สุนัขมีน้ำมูกสีเขียวไหลย้อย ดูเหมือน ปอดบวม มีไข้ เบื่ออาหาร ซึมมีตุ่มหนองขึ้นที่ใต้ท้อง มีขี้ตาสีเขียวๆเกอะกรังตลอดเวลาเมื่ออาการทวีความรุนแรงขึ้นจะพบว่ามีอาการทางประสาท คือปากสั่น กระตุก และลามไปที่บริเวณหนังหัว ใบหน้า ขาหลัง อาจจะพบบริเวณฝ่าเท้า กระด้างขึ้น บางรายพบว่ามีท้องร่วงร่วม เราสามารถป้องกันได้โดยฉีดวัคซีน ป้องกันโรคไข้หัดได้โดยการฉีดวัคซีนป้องกันตั้งแต่อายุ 2 เดือน เป็นเข็ม แรกหลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน ก็พาไปรับการฉีดวัคซีนเข็มที่สอง เป็นการ กระตุ้นภูมิคุ้มกันและฉีดซ้ำทุก ๆ ปี ปีละ 1 ครั้ง
2.โรคปอดบวม
โรคนี้จะพบมากในสุนัขเล็ก ๆ และสุนัขที่มีอายุมากแล้วเนื่องจากว่า สุนัขในวัยดังกล่าวมีภูมิคุ้มกันที่น้อยอยู่โรคนี้เกิดจากหลายสาเหตุได้แก่เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย พยาธิทำลาย ปอด ทำให้ปอดอักเสบ แต่ส่วนใหญ่จะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สุนัขจะมีอาการซึม มีไข้สูงมาก อาจถึง 106 องศาฟาเรนไฮต์เบื่ออาหาร จนถึงไม่กินอาหาร ชอบหลบไปนอนในที่เย็น ๆ เช่น ห้องน้ำ ข้างโอ่งหายใจกระหืดกระหอบ มีขี้มูกไหลออกมามีสีขาวจนถึงสีเขียวข้น บางครั้งมี อาเจียน ไอ มีเสลดหนาในลำคอบางตัวเป็นมาก ๆน้ำท่วมปอดต้องนั่งตลอดเวลานอนไม่ได้ หายใจไม่ออกบางครั้งต้องหายใจทางปากเนื่องจากจมูกอุดตันไปด้วยน้ำมูก ข้อควรปฏิบัติคือ รักษาความสะอาด ให้ความอบอุ่น โดยเฉพาะที่คอ หน้าอก และหลัง ปูรองพื้นที่นอนด้วยผ้า อย่าให้นอนในที่เย็นหรืออับชื้นหรือโดนฝนสาด และนำสุนัข ไปพบสัตว์แพทย์เพื่อรักษา
3.โรคพาร์โวไวรัส หรือลำไส้อักเสบ
โรคพาโวไวรัสหรือลำไส้อักเสบเป็นโรคที่มีการระบาดทั่วโลก สามารถเกิดการ ระบาดได้ง่ายรวดเร็วและรุนแรง สุนัขจะตายเนื่องจากเกิด ท้องร่วงอย่างรุนแรง อาเจียนไม่กินอาหาร มีไข้ สูง ร่างกายสูญเสียน้ำมาก ทำให้ตายอย่างรวดเร็วโรคนี้พบมาในสุนัขอายุ 2-6 เดือน หลังจากได้รับเชื้อโรคไปแล้วประมาณ5-7 วัน สุนัขจะไม่กินอาหาร มีไข้สูง ๆ ต่ำๆ แสดงอาการอาเจียนบ่อย ต่อมาไข้ขึ้นสูง นอนซึม หมดแรงเพราะอาเจียนอย่างมาก เริ่มมีอาการท้องร่วง ถ่ายออกมาเป็นน้ำเหลวสีโอวัลตินหรือสีแดง มีเลือดปนออกมามีกลิ่นเหม็นคาวมาก ไวรัสจะ เข้าไปยังกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้ช็อคตายได้อย่างรวดเร็ว โดยปกติโรคนี้ไม่มียารักษาโดยตรง เพียงแต่รักษาตามอาการที่พบเท่านั้น ทางที่ดีควรหา ทางป้องกันจะดีกว่า โดยการฉีดวัคซีนตั้งแต่ลูกสุนัขอายุได้ 2 เดือน และกระตุ้นภูมิคุ้มกันโดยฉีดวัคซีนอีกครั้งเมื่ออายุได้ 3 เดือน หลังจากนั้นก็ฉีดกระตุ้นทุกปี ปีละ1 ครั้ง
4.โรคหัด หรือ ดิสเทมเปอร์
โรคไข้หัด หรือดิสเทมเปอร์ เป็นโรคที่ฮิตติดอันดับสำหรับโรคสุนัขโรค หนึ่ง โรคนี้เกิด จากเชื้อไวรัส มักเกิดกับลูกสุนัขอายุน้อย ๆ ตั้งแต่ 2-3 เดือน บางครั้งก็พบว่าเกิดใน สุนัขที่โตแล้วเมื่อสุนัขเป็นโรคนี้โอกาสที่จะหาย นั้น มีน้อยมาก โดยอาการของมันก็แสดงออกมาทางอาการประสาท ตัวกระตุก หรือชักตลอดชีวิตส่วนใหญ่แล้วตาย อย่างทรมาน อาการของโรค เราสามารถสังเกตได้จากการที่สุนัขมีน้ำมูกสีเขียวไหลย้อย ดูเหมือน ปอดบวม มีไข้ เบื่ออาหาร ซึมมีตุ่มหนองขึ้นที่ใต้ท้อง มีขี้ตาสีเขียวๆเกอะกรังตลอดเวลาเมื่ออาการทวีความรุนแรงขึ้นจะพบว่ามีอาการทางประสาท คือปากสั่น กระตุก และลามไปที่บริเวณหนังหัว ใบหน้า ขาหลัง อาจจะพบบริเวณฝ่าเท้า กระด้างขึ้น บางรายพบว่ามีท้องร่วงร่วม เราสามารถป้องกันได้โดยฉีดวัคซีน ป้องกันโรคไข้หัดได้โดยการฉีดวัคซีนป้องกันตั้งแต่อายุ 2 เดือน เป็นเข็ม แรกหลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน ก็พาไปรับการฉีดวัคซีนเข็มที่สอง เป็นการ กระตุ้นภูมิคุ้มกันและฉีดซ้ำทุก ๆ ปี ปีละ 1 ครั้ง
5.โรคพิษสุนัขบ้า
-เกิดจากเชื้อไวรัสชื่อ เรบี้ส์ (Rabies) ไวรัสชนิดนี้ชอบอาศัยอยู่ในระบบประสาทมากที่สุด มันจะทำให้สุนัขมีอาการทางประสาท ทำให้เราเรียกว่าบ้า นอกจากสุนัขแล้ว เชื้อไวรัสนี้ยังสามารถติดต่อคน และสัตว์อื่นได้ ถ้าโดนสุนัขที่มีเชื้อกัด อาการสุนัขนี้แบ่ง ออกได้เป็น 2 แบบ คือ/ แบบดุร้าย และ แบบซึม
-อาการซึมของสุนัขจะไม่แสดงอาการดุร้ายออกมานอกจากเราพยายาม จะจับหรือเข้า ใกล้ มันอาจจะขู่หรือกัดได้ สุนัขจะหลบซ่อนตามซอกมุมหรือ ไม่ออกมากินน้ำ อาหาร ลิ้นจะห้อยออกมา น้ำลายไหลตลอดเวลา
-ส่วนอาการแบบดุร้าย สามารถแบ่งออกได้ 3 ระยะ ระยะเริ่มแรกอารมณ์และอุปนิสัยของสุนัขเริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มีอารมณ์ หงุดหงิดอุณหภูมิสูงขึ้นเล็กน้อย รูม่านตาจะขยายมากกว่าปกติ อาการเริ่มแรก จะแสดงอาการประมาณ 2-3 วัน จะเริ่มเข้าสู่ระยะที่ 2หรือระยะตื่นเต้นเป็นระยะที่แสดงอาการกระวน กระวาย ระบบประสาทตอบสนองอย่างฉับไวและรุนแรงต่อเสียงหรือสิ่งกระตุ้น ต่อมามันจะเริ่มกระวนกระวาย กัดสิ่งที่อยู่รอบตัว บางครั้งรุนแรงจนเลือดออก แล้วเริ่มวิ่งอย่างไร้จุดหมาย แสดงอาการบ้าอย่างชัดเจน เสียงเห่าหอนผิดปกติ เนื่องจากการเกิดเกิดอัมพาตของ กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการเคี้ยวและการกลืน ต่อมาอาการอัมพาตจะขยายและเป็นทั้งตัว และตายไปในที่สุด โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายได้เราต้องป้องกันล่วงหน้า โดยการฉีดวัคซีนเมื่อสุนัขอายุ 3เดือนขึ้นไป และฉีดซ้ำทุก ๆ ปี ถ้าเป็นสุนัขที่มีอายุต่ำกว่า 3 เดือน หากนำไปฉีดแล้ว ต้องฉีดซ้ำอีกครั้งเมื่ออายุ 3 เดือน จากนั้นก็ฉีดซ้ำทุก ๆ ปี
6.โรคเห็บหมัดสุนัข
อากาศในบ้านเราเหมาะแก่การเจริญเติบโตของเห็บและหมัด เห็บที่อยู่ตามตัว สุนัขสามารถ ไข่ได้ครั้งละหลายพันฟองตามพื้นดิน หรือตามซอกต่าง ๆ เห็บมีอยู่ 2 ประเภท
1.พวกตัวแบนสีน้ำตาล
2.ตัวโตบวมคล้ายลูกเกตุ
ทั้งคู่เป็นชนิดเดียวกัน เพียงแต่พวกแรกเป็นตัวผู้ พวกที่สอง เป็นตัวเมียในตัวเมียจะมีไข่หมัดอยู่เต็ม ต้องห้ามบีบเนื่องจากจะเป็นการทำให้ไข่หมัด แพร่กระจายให้นำหมัดและเห็บแช่ในน้ำมัน จะทำให้มันตาย สุนัขบางตัวจะมีการแพ้น้ำลายเห็บ,หมัดทำให้มีการแพ้ที่ผิวหนังและเห็บ, หมัดยังเป็นพาหะ นำโรคพยาธิในเม็ดเลือดมาแพร่ได้เราจะสามารถพบหมัดได้มากบริเวณ ลำคอ,หู,ง่ามนิ้วเท้า.ไหล่ หน้าอก การป้องกันเห็บ,หมัดทำได้โดยอาศัยยาฆ่าเห็บที่มีขายทั่วไป โดยให้ใส่ที่ตัวสุนัข และบริเวณ ที่สงสัยว่าจะเป็นที่วางไข่และยังมีอุปกรณ์ป้องกันเช่น ปลอกคอกันหมัดและแชมพูอาบน้ำสุนัขก็ ยังสามารถฆ่าเห็บและหมัดได้ด้วย
7.พยาธิไส้เดือน
พยาธิไส้เดือนหรือที่เรียกกันว่า พยาธิตัวกลมนั้นอาศัยอยู่ในลำไส้สุนัข ขนาด ยาวประมาณ 2-3 นิ้วเราจะพบมากในลูกสุนัข คอยแย่งอาหารที่ได้รับการย่อยแล้ว ทำให้สุนัขไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ สุนัขจะดูท้องโตเหมือนกินอิ่ม บางครั้งพยาธิก็มีมากจนตันลำไส้ทำให้ สุนัขตาย การติดต่อของพยาธิชนิดนี้สามารถติดต่อได้โดยสุนัขกินไข่พยาธิเข้าไป หรือ ถูกชอนไชผ่านทางผิวหนัง พยาธิสามารถติดต่อสู่ลูกสุนัขได้ทางกระแสเลือดของแม่ไปสู่ลูกหรือติดต่อผ่านทาง น้ำนมการป้องกันทำได้โดยถ่ายพยาธิก่อนการผมพันธุ์ และช่วงท้ายของการตั้งท้อง หลังจากลูก เกิดมาได้2-3 อาทิตย์ ก็ให้ถ่ายพยาธิ และถ่ายพยาธิทุก ๆ 2-3 เดือน
8.พยาธิไส้เดือน
เป็นอาการโรคทางผิวหนัง โดยอาการของโรคนี้คือ สุนัขมีอาการคันขนร่วงคันตามผิวหนังบางตัวขนกลางหลังจะร่วง หรือร่วงหมดตัวสาเหตุของโรคนี้ เกิดจาก เห็บ หมัด อาการแพ้จากโรคพยาธิหัวใจการขาดฮอร์โมนบางชนิด แต่สาเหตุที่แท้จริงเกิดจากพยาธิผิวหนังเราสามารถให้สัตว์แพทย์ตรวจสอบได้ โดยสัตว์แพทย์จะขูดผิวหนังบริเวณที่เป็นไปตรวจ เพื่อหาสาเหตุ พยาธิที่ทำให้เกิดโรคเรื้อนมีอยู่ 2 ชนิดด้วยกัน
1.เชื้อซาคอปติค เป็นขี้เรื้อนแห้ง ขนสุนัขจะร่วง ตกสะเก็ดแห้งเร็ว ถ้าเป็นแบบนี้รักษาได้ ไม่ยาก
2. ขี้เรือนที่อยู่ในต่อมน้ำเหลือง ที่รากโคนขน เกิดจากเชื้อดีโมเด็กซ์ หรือที่เรียก ขี้เรื้อนเปียก การรักษาขี้เรือนแบบนี้ทำได้ยาก การรักษาโรคนี้ต้องใช้เวลาในการรักษาและต้องดูแลรักษาความสะอาดเป็นอย่างดี
วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
10 อันดับ สุนัขยอดฮิตของคนไทย
สายพันธุ์สุนัขในโลกนี้มีมากมายทั้งสุนัขพันธุ์พื้นเมือง สุนัขนำเข้าจากต่างประเทศ และสุนัขที่เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ ซึ่งหากตอนนี้คุณกำลังมองหาสุนัขสักตัวมาเลี้ยง แต่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกสุนัขสายพันธุ์ใด หรืออยากรู้ว่า เพื่อนซี้แสนซื่อที่อยู่ข้างกายของคุณในตอนนี้จะเป็นสายพันธุ์สุนัขที่ฮิตในหมู่คนเลี้ยงสุนัขกันบ้างหรือเปล่า ก็ไปติดตาม 10 อันดับ สุนัขยอดฮิตของคนไทยกันเลยดีกว่า
1. ชิวาวา (Chihuahua)
สุนัขตาโปนที่ถูกเรียกชื่อตามรัฐชิวาวา ซึ่งเป็นชื่อของรัฐแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของเม็กซิโก นอกจากจะเป็นสุนัขพันธุ์เล็กที่สุดในโลกแล้ว ด้วยลำตัวขนาดเล็กกะทัดรัด สะดวกแก่การพกพา บวกกับนิสัยขี้เล่น ขี้อ้อน จึงส่งผลให้ผู้คนส่วนใหญ่นิยมนำชิวาวามาเลี้ยงเป็นเพื่อนเล่น ดังที่เห็นได้จากการที่ชิวาวามักจะปรากฏตัวพร้อมกับเหล่าเซเลบริตี้คนดังอยู่บ่อย ๆ นั่นเอง
ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของชิวาวา
รูปร่างลักษณะของชิวาวาที่ดีและสมบูรณ์แบบนั้น จะต้องมีหัวหรือกะโหลกศีรษะกลม หน้าสั้น ส่วนเรื่องลำตัวจะยาวหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะของแต่ละตัว ทั้งนี้ พวกมันจะมีความยาวของขาที่ได้สัดส่วนพอดี เมื่อมองจากลำตัวที่ตัดจากลำคอไปถึงหาง ดูแล้วจะเห็นเป็นทรงสี่เหลี่ยม ส่วนท่าทางการเดินจะเตะขาเหมือนม้า
อุปนิสัยของชิวาวาที่นอกเหนือจากหน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดูแล้ว ยังค่อนข้างติดเจ้าของ ชอบประจบประแจง แถมบางตัวก็แอบหยิ่งนิด ๆ ถ้าไม่ใช่เจ้าของตัวเองจะไม่ค่อยให้แตะเนื้อต้องตัว และค่อนข้างปากเปราะ เห่าเสียงดังเหมือนสุนัขพันธุ์เล็กทั่วไป
การเลี้ยงดูชิวาวา
เห็นตัวเล็ก ๆ แบบนี้แต่ชิวาวามีอายุเฉลี่ย 13-15 ปี เลยทีเดียว นั่นเป็นเพราะร่างกายของชิวาวาแข็งแรงมาก และไม่ค่อยพบปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพสักเท่าไหร่เมื่อเทียบกับสุนัขพันธุ์อื่น ๆ แต่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษในช่วงแรกคลอด ทั้งนี้เจ้าของควรดูแลลูกชิวาวาโดยให้กินนมแม่ไปก่อน หลังช่วง 1 เดือนครึ่ง ค่อยเปลี่ยนมาเป็นอาหารเม็ดที่แช่ทิ้งไว้ในน้ำหรือนมแพะเพื่อให้นิ่ม หากไม่สะดวกอาจจะเปลี่ยนมาเป็นอาหารเหลวสำหรับลูกสุนัข เพื่อฝึกให้สุนัขเลียหรือกินอาหารได้เอง
2. ปอมเมอเรเนียน (Pomerania)
ก่อนที่เจ้าปอมเมอเรเนียนจะกลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงตัวเล็กแสนซนในบ้านเรา เจ้าปอมเมอเรเนียนเคยเป็นสุนัขที่ถูกเลี้ยงเอาไว้เพื่อใช้งาน ว่ากันว่าต้นตระกูลของพวกมันเป็นสุนัขลากเลื่อนของประเทศไอซ์แลนด์และโปแลนด์ ทางตอนเหนือของทวีปยุโรป แต่ในเวลาต่อมาก็ได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียนอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปอมเมอเรเนียนมีขนาดตัวเล็ก ตาแป๋ว ตัวกลม ขนฟูอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของปอมเมอเรเนียน
ปอมเมอเรเนียน เป็นสุนัขที่มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 1.7-2.5 กิโลกรัม ถ้าน้ำหนักน้อยหรือมากกว่านี้ จะถือว่าไม่ได้มาตรฐานสายพันธุ์ นอกจากนี้พวกมันยังมีขนชั้นในที่แน่นและนุ่ม ส่วนขนชั้นนอกจะหยาบกว่าชั้นในเล็กน้อย หางสวยงามเป็นพวง และตั้งอยู่ในตำแหน่งสูงขนานไปกับแผ่นหลัง
โดยลักษณะนิสัยพื้นฐานของปอมเมอเรเนียน เป็นสุนัขที่ตื่นตัวเสมอ มีนิสัยอยากรู้อยากเห็น อวดดี สง่างาม และขณะก้าวย่างแสดงถึงความมีชีวิตชีวา ถือว่าเป็นพันธุ์ที่สมบูรณ์ทั้งรูปร่างและการเคลื่อนไหว ข้อเสียคือ อาจจะเห่าพร่ำเพรื่อไปสักนิด ทำให้เจ้าของที่ไม่ชินกับธรรมชาติของมัน อาจรู้สึกเครียดได้
การเลี้ยงดูปอมเมอเรเนียน
ปอมเมอเรเนียนต้องได้รับการแปรงขนทุกวันหรืออาทิตย์ละ 2 ครั้ง เพื่อที่ให้ขนที่หนาและสวยไม่พันกัน อาจต้องเล็มบ้างเป็นครั้งคราว และไม่ควรอาบน้ำให้ปอมเมอเรเนียนบ่อย เพราะจะทำให้ผิวหนังกับขนแห้งจนเกินไป นอกจากการดูแลขนแล้ว สิ่งที่สำคัญที่มากที่สุดสำหรับสุนัขปอมเมอเรเนียน คือ การได้รับการดูแลสุขภาพปากและฟันเป็นอย่างดี เนื่องจากปอมเมอเรเนียนง่ายต่อการสูญเสียฟันอันเนื่องมาจากปัญหาฟันผุ หรือสุขภาพเหงือกไม่ดี จึงต้องหมั่นทำความสะอาดฟันให้เป็นประจำ และควรให้อาหารชนิดแห้งเพื่อลดปัญหาในช่องปาก
3. ชิสุ (Shih Tzu)
ที่มาของชิสุก็ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน เพราะเป็นถึง 1 ใน 3 สุนัขชั้นสูงจากจักรพรรดิจีน โดยมีการคาดการณ์กันว่า ชิสุ มีต้นกำเนิดจากทิเบต เนื่องจากตามประวัติศาสตร์ของชาวทิเบตถือว่า สิงโต เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อทางศาสนา พระชาวทิเบต (Lama) จึงได้ผสมสุนัขพันธุ์เล็กขึ้นมาให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับสิงโต ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า ขนแผงคอของ ชิสุ คล้ายกับแผงคอของสิงโต รวมไปถึงท่าทางการเดินหรือการเคลื่อนไหวที่สง่างาม อีกทั้งความหมายของคำว่า ชิสุ ยังแปลว่า สิงโต อีกด้วย
ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของชิสุ
ชิสุ เป็นสุนัขขนาดเล็กในกลุ่มทอย (Toy Group) มีน้ำหนักประมาณ 4.5-7.5 กิโลกรัม ส่วนสูงประมาณ 25-27 เซนติเมตร ลักษณะของศีรษะต้องกลมโต สีกลางหน้าผากขาวเด่น ปากสั้น ความยาวของลำตัวมากกว่าความสูงเล็กน้อย กล้ามเนื้อบึกบึน กระชับ และเดินหน้าเชิด การย่างก้าวสง่าผ่าเผยทั้งนี้ ชิสุ เป็นสุนัขที่มีนิสัย กล้าหาญ ตื่นตัว ขี้ประจบ มีความสง่าอยู่ในตัว อีกทั้งยังเป็นสุนัขที่รักความสะอาด เป็นมิตรกับทุกคน ปรับตัวได้ดี ชอบที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ กับเจ้าของ หากมีเวลาเจ้าของควรพามันไปวิ่งเล่นหรือออกกำลังกายบ้าง
การเลี้ยงดูชิสุ
ชิสุมีอายุค่อนข้างยืนยาว คือประมาณ 10-18 ปี ตามแต่ปัจจัยต่าง ๆ เช่น อาหาร และการเลี้ยงดู โรคที่มักเกิดขึ้นกับชิสุ คือ โรคตาแห้ง โรคหูน้ำหนวกหรือหูอักเสบ ดังนั้นเจ้าของควรหมั่นทำความสะอาดตาและหูอย่างสม่ำเสมอด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ส่วนโรคอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับชิสุ ได้แก่ โรคนิ่ว โรคไต และไส้เลื่อน นอกจากนี้ดูแลขนด้วยการแปรงขนเป็นประจำทุกวัน พร้อมกับการนวดให้ต่อมน้ำมันที่โคนขนขับน้ำมันออกมาเคลือบเส้นขนได้มากขึ้น จะทำให้ผิวหนังและขนของมันมีสุขภาพสมบูรณ์ และช่วยขจัดรังแคกับสิ่งสกปรกอื่นออกจากผิวหนัง
4. ยอร์คเชียร์ เทอร์เรียร์ (Yorkshire Terrier)
สุนัขที่เคยถูกเลี้ยงเอาไว้ใช้งาน ในการตามล่าและไล่จับหนูเหมือนกับแมวจากทางตอนเหนือของประเทศอังกฤษ มาตอนนี้ภาพเหล่านั้นกลับไม่มีให้เห็นอีกแล้ว เพราะยอร์คเชียร์ เทอร์เรียร์ หรือยอร์คกี้ ได้โด่งดังไปทั่วโลก ในฐานะสุนัขกลุ่มทอยที่เฉลียวฉลาด ขนสวย น่ารัก ที่คนทั่วโลกได้นำมาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนข้างกายนั่นเอง
ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของยอร์คเชียร์ เทอร์เรียร์
สุนัขยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย จัดอยู่ในกลุ่มทอย ด็อก (Toy Dog) น้ำหนักเฉลี่ยของพวกเขาจะอยู่ที่ 1-5.4 กิโลกรัม เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเจ้าของที่ชอบแต่งตัวให้กับสุนัข เพราะตลอดทั้งลำตัวของมันจะถูกปกคลุมด้วยขนยาว ที่มีลักษณะเรียบลื่น สลวยสวยงาม ทั้งนี้ สีขนของยอร์คกี้จะมีสีน้ำตาลและดำในช่วงแรกเกิด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีเงินออกน้ำเงินและสีทองเมื่อเริ่มโตขึ้น
ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย เป็นสุนัขที่เหมาะสมกับคนทุกช่วงอายุ และเป็นสัตว์เลี้ยงที่ดีสำหรับคนโสดหรือผู้ไม่มีบุตร หากบ้านใดมีเด็กเล็กอยู่ในครอบครัว ควรสอนเด็กให้รู้จักวิธีปฏิบัติตัวและวิธีเล่นกับยอร์คเชียร์ เพราะหากเด็กเล่นกับมันแรง ๆ ก็อาจทำให้มันบาดเจ็บได้ง่ายหรือบางทีอาจอันตรายถึงชีวิต เนื่องจากยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย ตัวเล็กและบอบบาง และการที่พวกมันถูกเด็กแกล้งเป็นประจำ ก็อาจทำให้พวกมันมีนิสัยเปลี่ยนเป็นก้าวร้าว โมโหง่าย หรืออาจถึงขั้นกัดคน แต่หากพ่อแม่รู้จักสอนลูก ๆ ให้ปฏิบัติตัวต่อยอร์คเชียร์อย่างดีแล้วล่ะก็ พวกมันจะเป็นสัตว์เลี้ยงของครอบครัวที่ดีได้เช่นกัน
การเลี้ยงดูยอร์กเชียร์ เทอร์เรียร์
การหมั่นแปรงขนให้ยอร์คกี้เป็นประจำทุกวัน ถือเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับสุนัขพันธุ์นี้ ส่วนการอาบน้ำอาจทำแค่ 1 ครั้งต่อเดือนก็เพียงพอ ก่อนอาบน้ำควรใช้สำลีอุดหูให้เรียบร้อยและล้างแชมพูให้สะอาด โดยทำความสะอาดศีรษะกับใบหน้าเป็นส่วนสุดท้าย ก่อนจะเป่าขนให้แห้งด้วยความร้อนที่พอเหมาะ ส่วนเรื่องอาหารการกินของสุนัขยอร์คกี้ ควรเป็นอาหารเม็ดจะดีที่สุด เพราะมีความสะดวกในการเก็บรักษา และมีสัดส่วนสารอาหารที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ อาจผสมอาหารเปียกลงไปในอาหารเม็ดเพื่อเพิ่มความน่ากินเป็นบางครั้ง
5. บีเกิล (Beagle)
สายพันธุ์สุนัขที่มีมานานกว่า 2,000 ปี โดยมีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอังกฤษ จุดประสงค์เดิมถูกพัฒนาสายพันธุ์เพื่อใช้ในการกีฬาล่าสัตว์ และเนื่องจากบีเกิลเป็นสุนัขที่มีประสาทในการดมกลิ่นเป็นเลิศ จึงถูกนำมาฝึกให้เป็นสุนัขตำรวจ คอยตรวจสอบสิ่งของผิดกฎหมาย อย่างเช่น ยาเสพติด วัตถุระเบิด และอื่น ๆ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นที่นิยมให้หมู่คนเลี้ยงสุนัขไปพร้อม ๆ กันด้วย
ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของบีเกิล
จัดอยู่ในสุนัขกลุ่มฮาวน์ (Hound) หรือสุนัขล่าเนื้อ ส่วนสูงอยู่ที่ 33-38 นิ้ว และมีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 8-13 กิโลกรัม ลักษณะรูปร่างของบีเกิลมีขนาดลำตัวยาวกว่าความสูงเล็กน้อย หูปรก สีขนมีทั้งสีขาว ดำ และแทน โดยสีที่ผสมกันทุกสีจะเป็นที่ยอมรับมากที่สุด
อุปนิสัยส่วนตัวของเจ้าบีเกิลก็น่ารักทีเดียว นอกจากจะสุภาพ กระฉับกระเฉง ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ แล้ว ยังสามารถเข้ากับเด็กและสัตว์เลี้ยงตัวอื่น ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม แถมมีพลังเล่นล้นเหลือไว้เป็นเพื่อนเล่นให้เจ้าของได้คลายเหงาอีกด้วย แต่บีเกิลมีข้อเสียนิดหน่อยตรงที่ค่อนข้างเชื่อคนง่าย ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับตำแหน่งสุนัขเฝ้าบ้านเท่าไหร่นัก
การเลี้ยงดูบีเกิล
สุนัขพันธุ์นี้ต้องอยู่ในบริเวณที่มีรั้วรอบขอบชิด เนื่องจากเป็นสุนัขที่ไม่มีสัญชาตญาณในการระวังภัยบนท้องถนนมากนัก และมักมีความเข้าใจอย่างผิด ๆ ว่า รถทุกคันจะหยุดรอให้พวกมันไปก่อนเสมอ นอกจากนี้จุดประสงค์ดั้งเดิมที่พวกมันถูกพัฒนาขึ้นมา ก็เพื่อเป็นสุนัขสำหรับล่าสัตว์ ทำให้พวกมันมีพลังงานในตัวมาก และชื่นชอบการออกกำลังกายเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเจ้าของควรพาไปออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
หากต้องการให้บีเกิลมีสุขภาพแข็งแรง เติบโตสมวัย ก็ต้องใส่ใจเรื่องนี้ให้มาก โดยการเลือกประเภทอาหารให้เหมาะสมกับวัย พร้อมทั้งหมั่นแปรงขนทุก ๆ 3-4 วัน เพื่อกำจัดเส้นขนที่ตายแล้วออกไป เท่านี้ขนของมันก็จะสลวยเงางามอย่างที่ต้องการแล้ว
6. ปั๊ก (Pug)
สุนัขอีกสายพันธุ์ที่มีถิ่นกำเนิดในแถบประเทศจีนเมื่อ 400 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งสมัยนั้นนิยมเลี้ยงไว้ในวัดจีน ก่อนจะถูกนำไปเลี้ยงยังสถานที่ต่าง ๆ จนได้รับความนิยมไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย เนื่องจากหน้าตากวน ๆ บวกกับรูปร่างอ้วนกลม และความร่าเริง ขี้เล่นของเจ้าปั๊ก จึงทำให้ถูกใจคนรักสุนัขเป็นอย่างมาก
ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของปั๊ก
ปั๊ก เป็นสุนัขพันธุ์เล็ก มีขนาดร่างกายเล็กปานกลางเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ตัวตันมีกล้ามเนื้อแข็งแรง ส่วนใบหน้านั้นสั้นและย่น ตาโปนแลดูใจดี ใบหูพับตกลงด้านข้าง บนลำตัวปกคลุมด้วยขนสั้นเกรียนแต่นุ่มคล้ายกำมะหยี่ หางมีลักษณะบิดเป็นเกลียวชี้ขึ้นหรือม้วนจนเป็นวงติดกับบั้นเอว ถ้าหากหางม้วนได้ถึงสองตลบจัดว่าเป็นลักษณะที่สวยสมบูรณ์ที่สุด แต่พวกมันจะหายใจและกรนเสียงดัง
สุนัขพันธุ์นี้เป็นที่นิยมเลี้ยงกันมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีนิสัยน่ารัก ถึงหน้าตาของมันจะยับย่นเหมือนกำลังคิดมากไปสักหน่อย แต่ถ้าได้ลองเลี้ยงแล้วจะหลงใหลความอ่อนโยนของมันโดยไม่รู้ตัว ข้อควรระวังในการเลี้ยง คือ ปั๊ก ทนสภาพอากาศที่ร้อนมากไม่ค่อยได้ อาจถึงขั้นเป็นลมแดดเลยทีเดียว แต่ถ้าอยู่ในอากาศเย็น ก็ควรให้อยู่ในที่อุ่น ๆ หรือหาเสื้อมาสวมใส่เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นหวัด
การเลี้ยงดูปั๊ก
ถึงแม้จะเป็นสุนัขขนสั้นที่ไม่ต้องตกแต่งหรือเสริมสวยมากนัก แต่ก็ต้องดูแลรักษาความสะอาด พร้อมกับพาพวกมันไปเดินเล่นหรือออกกำลังกายอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้กลายเป็นโรคอ้วนหรือเฉื่อยชามากจนเกินไป และเนื่องจากหน้าตาที่บูดบึ้งจึงทำให้เกิดอาการบาดเจ็บที่ดวงตาได้ง่าย หากปั๊กเริ่มขยี้ตาบ่อย กะพริบตาถี่ ตาเปลี่ยนสี หรือมีน้ำตามากเกินไป ควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที นอกจากนี้ พวกมันยังมีปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจอยู่เสมอ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีอุณหภูมิสูงด้วย
7. บูลด็อก (Bulldog)
สุนัขนักสู้ที่มีมานานกว่า 700 ปี แถมยังขึ้นชื่อในเรื่องความดุร้ายมากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็มีคนที่หลงรักเจ้าสุนัขหน้าบึ้งแบบนี้อยู่ไม่น้อย ว่ากันว่าพวกมันมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศอังกฤษ โดยสมัยก่อนพวกมันถูกเลี้ยงเอาไว้เพื่อใช้ต่อสู้กับวัว ซึ่งเป็นเกมกีฬายอดนิยมของคนอังกฤษในสมัยนั้น แต่หลังจากเกมกีฬาชนิดนี้หมดความนิยมลง กลุ่มคนรักบูลด็อกจึงหันมาเลี้ยงพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยง จนกระทั่งกลายมาเป็นสุนัขยอดนิยมของคนทั่วโลกในปัจจุบัน
ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของบูลด็อก
สุนัขสายพันธุ์บูลด็อก นอกจากจะมีรูปร่างบึกบึน ตัวหนา กล้ามเนื้อแข็งแรง พวกมันยังมีช่วงไหล่กว้างกว่าสะโพก ศีรษะใหญ่กว้าง หน้าสั้น บริเวณหน้าผากมีรอยย่นลึก และหางสั้นขดแน่นกับส่วนหลัง ส่วนอุปนิสัยและพฤติกรรมจัดว่าเป็นสุนัขที่มีความอดทนสูง และมีภาวะทางอารมณ์มั่นคงเสมอต้นเสมอปลายมากทีเดียว นอกจากนี้ภายใต้ใบหน้าอันเคร่งขรึมยังเต็มไปด้วยความตั้งใจแน่วแน่ กล้าหาญ และเด็ดเดี่ยวมากเลยทีเดียว
การเลี้ยงดูบูลด็อก
อาหารที่ให้บูลด็อกควรเป็นอาหารเม็ดสลับกับเนื้อสัตว์ปรุงสุกบ้าง แต่ไม่ควรปรุงแต่งด้วยรสเค็ม เพราะการให้อาหารเค็มหรือให้อาหารเม็ดตลอดเวลา จะส่งผลในระยะยาว เช่น ขนร่วง หรือมีอาการคัน เป็นต้น นอกจากนี้ควรให้อาหารเสริมแคลเซียมบ้างเป็นครั้งคราว ตามปริมาณที่ร่างกายต้องการ ส่วนการทำความสะอาดแค่อาบน้ำอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ก็เพียงพอแล้ว และเนื่องจากเป็นสุนัขที่แพ้ง่าย ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงบริเวณมีแมลง เช่น ยุง มด และสัตว์มีพิษ
8. ไซบีเรียน ฮัสกี้ (Siberian Husky)
ความเป็นมาของไซบีเรียน ฮัสกี้ ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน เพราะเดิมเป็นสุนัขของชนเผ่าพื้นเมืองชัคชิ ในตอนนั้นพวกเขาพยายามพัฒนาสายพันธุ์เพื่อให้ได้สุนัขที่สามารถนำมาใช้งานได้ ทั้งการล่าสัตว์ หาอาหาร เฝ้ายาม และลากเลื่อนบนหิมะ ซึ่งความเก่งกาจของสุนัขไซบีเรียน ฮัสกี้ เลื่องลือไปไกล จนได้ชื่อว่าเป็นสุนัขอีกสายพันธุ์หนึ่งที่ได้รับความนิยมสูง
ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของไซบีเรียน ฮัสกี้
ไซบีเรียน ฮัสกี้ มีอายุประมาณ 12-16 ปี ลำตัวปกคลุมด้วยขนหนากว่าสุนัขสายพันธุ์อื่น สีขนส่วนใหญ่บริเวณเท้า ขา ท้อง รอบดวงตาจะเป็นสีขาว ดวงตามีสีฟ้า น้ำตาลเข้ม เขียว และน้ำตาลอ่อน บางตัวอาจมี 2 สีรวมกัน ความสูงเฉลี่ยอยู่ 50-60 เซนติเมตร น้ำหนักราว 15-28 กิโลกรัม
สุนัขไซบีเรียน ฮัสกี้ มีอุปนิสัยเป็นมิตร ขี้เล่น และเข้ากับคนได้ง่ายจึงทำให้สามารถปรับตัวให้เข้ากับทุกคนในครอบครัวได้เป็นอย่างดี โดยส่วนใหญ่แล้วไซบีเรียนเพศผู้มักต้องการความสนใจ และชอบอยู่ใกล้ชิดกับเจ้าของมากกว่าเพศเมียแต่ถึงแม้จะเป็นสุนัขใจดี ก็ไม่ควรปล่อยให้เล่นกับเด็กตามลำพัง เนื่องจากทั้งสุนัขและเด็กมักไม่รู้จักออมแรงในการเล่น จนอาจพลาดพลั้ง ทำให้เกิดการบาดเจ็บได้
การเลี้ยงดูไซบีเรียน ฮัสกี้
การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่สำคัญมากของ ไซบีเรียน ฮัสกี้ เนื่องจากเป็นสุนัขที่มีอุปนิสัยกระตือรือร้น และชอบสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งการทำให้ไซบีเรียน ฮัสกี้ มีความสุข ยังช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องการกินอาหารยากอีกด้วย และถึงแม้จะเป็นสุนัขที่มีขนหนาก็ไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดบ่อย แต่หลังการอาบน้ำควรเป่าขนให้แห้งสนิท เพื่อป้องกันโรคผิวหนัง
9. โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ (Golden Retriever)
นาทีไม่มีใครที่ไม่รู้จักโกลเด้น รีทรีฟเวอร์อย่างแน่นอน เพราะเรามักจะเห็นสุนัขสายพันธุ์นี้โลดแล่นอยู่ในโฆษณาหรือภาพยนตร์บ่อย ๆ โดยสุนัขใจดีตัวนี้มีต้นกำเนิดจากประเทศอังกฤษและสกอตแลนด์ เริ่มแรกเดิมทีถูกเลี้ยงเอาไว้เพื่อใช้เป็นสุนัขล่าสัตว์ของนายพราน ก่อนที่จะกลายเป็นสุนัขตำรวจและสุนัขบ้านในเวลาต่อมาลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของโกลเด้น รีทรีฟเวอร์
โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เป็นสุนัขในกลุ่มกีฬา (Sporting Group) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้งานในกีฬาล่าสัตว์ขนาดกลาง มีอายุเฉลี่ย 12–14 ปี ส่วนสูงราว ๆ 51-60 เซนติเมตร หนักประมาณ 22-26 กิโลกรัม มีสีหลายระดับสี มักจะเป็นสีออกครีมถึงสีเหลืองทองจนถึงกึ่งเข้มแดงมะฮอกกานี ขนแน่นหยักเป็นลอนเล็กน้อย โครงสร้างลำตัวสั้นกระชับได้สัดส่วน
นอกจากนี้ยังเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า อุปนิสัยของ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ น่ารักสุด ๆ ไปเลย เพราะนอกจากจะมีเสน่ห์ ขี้เล่น ช่างประจบเอาใจเสียสละ และรักเจ้าของ พวกมันยังเป็นสุนัขที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดี ชอบอยู่กับคน แถมยังฝึกฝนง่ายอีกด้วย แต่สิ่งที่ควรระวังอย่างหนึ่ง คือ เจ้าของไม่ควรปล่อยให้สุนัขมีอิสระมากจนเกินไป และควรทำรั้วล้อมรอบบริเวณบ้านให้ดี มิเช่นนั้นอาจต้องตามหากันจนเหนื่อย เนื่องจากโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เป็นสุนัขที่ชอบเที่ยวและชอบผจญภัยนั่นเอง
การเลี้ยงดูโกลเด้น รีทรีฟเวอร์
เนื่องจากเป็นสุนัขที่มีขนร่วงมาก จำเป็นจะต้องแปรงและหวีขนให้มันสัปดาห์ละหลาย ๆ ครั้ง นอกจากนี้พวกมันจะมีความสุขมาก หากเจ้าของพาไปวิ่งเล่นในสนามโล่ง ๆ หรือพาไปว่ายน้ำบ้าง ส่วนเรื่องอาหารที่ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ขนาดโตเต็มวัยต้องการ ควรเป็นอาหารชั้นดี โดยให้เพียงวันละ 1 ครั้ง ในปริมาณที่เพียงพอ แต่ในระหว่างวันอาจให้บิสกิตเสริมได้วันละ 2 ครั้ง
10. ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ (Labrador Retriever)
สุนัขจากคาบสมุทร ลาบราดอร์ ประเทศแคนาดา เดิมทีชาวประมงจะเลี้ยงไว้ใช้เก็บเหยื่อ จำพวกปลาที่หลุดออกจากเบ็ดหรือแห หรือคาบเป็ดป่าที่โดนยิงตกลงไปบนน้ำ ก่อนที่จะนำเข้ามายังประเทศอังกฤษและถูกพัฒนาสายพันธุ์ในภายหลัง พร้อมกับนำไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากการล่าสัตว์ อาทิ ใช้ในการค้นหายาเสพติด วัตถุระเบิด และช่วยเหลือคนตาบอด เป็นต้น
ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์
ลาบราดอร์ จะมีขนสองชั้น ชั้นนอกสั้น เหยียดตรง และแน่น ขนชั้นในนุ่มและช่วยปกป้องจากสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายได้ดี สีขนเป็นสีดำ สีเหลือง หรือสีช็อกโกแลต บางครั้งอาจมีจุดขาวบริเวณหน้าอก หางของ ลาบราดอร์ ดูคล้ายหางของตัวนาก โคนหางจะหนาและเรียวลงจนถึงปลายหาง
ลาบราดอร์ เป็นสุนัขที่มีเสน่ห์และน่าเลี้ยงที่สุดพันธุ์หนึ่ง เนื่องจากฝึกง่าย พวกมันมักตื่นตัว กระฉับกระเฉง ช่างประจบ และสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี เป็นมิตรกับคน รวมทั้งสัตว์อื่น ๆ นอกจากจุดเด่นเรื่องความฉลาดแล้ว ลาบราดอร์ยังมีจมูกไวเป็นเลิศ พวกมันจึงถูกฝึกใช้ในงานข้าราชการ ดังภาพที่เราเห็นเป็นสุนัขตำรวจหรือสุนัขกู้ภัย เป็นต้น
การเลี้ยงดูลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์
เจ้าของควรแปรงขนสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง พร้อมกับนำลาบราดอร์ไปวิ่งเล่นอย่างน้อยวันละ 30 นาที และหากมีเวลาก็ควรให้ได้ลงไปว่ายน้ำเก็บของบ้างเป็นครั้งคราว นอกจากนี้อย่าลืมพาพวกมันไปตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี เนื่องจากลาบราดอร์จะมีปัญหาเรื่องโรคกระดูกข้อสะโพกหลุดหรือโรคกระดูกอ่อน เป็นโรคประจำตัวของสุนัขพันธุ์นี้
สุนัขแต่ละสายพันธุ์ นอกจากความน่ารักน่าเอ็นดูแล้ว ยังมีนิสัยขี้เล่น ร่าเริงพอ ๆ กัน จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมสุนัขทั้ง 10 สายพันธุ์นี้ จึงได้ใจคนไทยไปเต็ม ๆ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)